สวัสดีอีกครั้งครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน สมาชิกเว็บE46thailandและท่านที่กำลังจะซื้อBMW E46มาใช้ครับ
วันนี้ ผมจะมาขอเขียนบทความเล็กๆ รีวิว BMW E46 318iaSE รถของผมเองครับ รถที่ผมทั้งรักทั้งเกลียด
ไม่รู้จะเอายังไงกับมันดี ที่รักมันก็เพราะความสวยและประหยัดน้ำมัน แต่ที่เกลียดมันก็เพราะต้องจ่ายตัง ทั้งจะแต่ง ทั้งซ่อมบำรุงรักษามันให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเท่าที่เงินจะซื้อได้ สับสนกับชีวิตจริงๆ อยากเดิมแต่ก็ไม่อยากเดิม
วันนี้ ครบ1ปีของการซื้อมาแล้ว เลยอยากจะมาให้ความรู้ สำหรับคนที่กำลังอยากจะซื้อรถรุ่นนี้มาใช้
ดูกันให้ชัดๆ เต็มๆตา ว่าอะไรเป็นยังไง จะได้ตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้นครับ อย่าเชื่อแต่คนที่ชอบติ อย่าอ่านจากคนที่ไม่เคยขับรถรุ่นนี้ อย่าเชื่อจากคนที่ไม่มีรถรุ่นนี้ใช้ มาฟังเสียงจากผู้ใช้จริงอย่างผมบ้าง คนที่ใช้ คนที่ซ่อม แล้วค่อยคิดอีกทีว่าเป็นอย่างไร
เรื่องของเรื่อง มันเริ่มตั้งแต่ ความอยากได้รถ BMW E36 325i ฉายา ''นกแก้ว'' ซึ่งเป็นรถที่ผมชอบมาก
และใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าสักวันต้องซื้อให้ได้ แต่จะซื้อรุ่นนี้ เราต้องสมัครสมาชิกเว็บเอาไว้ก่อน มีอะไรจะได้มีคนช่วยเหลือ
และพูดคุยได้
แต่ด้วยโชคชะตา ผมดันสมัครเว็บE36ไม่ได้ ก็เลยมาสมัครเว็บE46แทน ซึ่งตอนนั้น
เจ้า BMW E46 ไม่ได้อยู่ในสายตาผมเลย นั่นก็เพราะ มันสวย และดีเกินไปสำหรับผม (ความคิดในตอนนั้น)
ผมก็ยังอยากจะหาE36มาใช้สักคัน แต่แฟนก็ต่อต้าน บอกว่า E36มันเก่าไป ถ้าเป็นE46ค่อยว่ากัน
และนั่น ก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผม หาข้อมูลและศึกษาเจ้าBMW E46อย่างจริงๆจังๆ หลังจากนั้นผมก็ได้ตั้งโจทย์ว่า รถจะเป็นสีอะไร ภายในเป็นสีอะไร เครื่องเป็นตัวไหนต่อมา ความเห็นจากหลายท่านบอกว่า ถ้าจะเอาE46ทั้งที ต้องเอาตัว 323iseถึงจะดี เพราะมันแรง ทน ปัญหาน้อยสุด ซ่อมง่าย ไม่จุกจิก optionครบๆซึ่งในตอนนั้น ผมเองก็เอนเอียงไปในทางนั้นเช่นกัน แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว 323iseในสเป็กทุกอย่างที่ต้องการรวมถึงราคานั้น ไม่มีเลย
ผมไปหลายเต้นท์รถมาก หมดเงินเฉพาะค่าเดินทาง ประมาณ3000บาทเห็นจะได้ รวมทั้งยังหาตามเว็บขายรถต่างๆอีกด้วย ช่วงนั้นเป็นอะไรที่ท้อมาก เพราะไม่มีรถขับ ต้องซื้อให้ได้
ในที่สุด ผมก็เจอรถคันนี้ในเว็บ ซึ่งตรงตามสเป็กทุกอย่างยกเว้น เครื่อง ซึ่งป็น N42 ของรุ่น 318iase ที่หลายๆท่านในเว็บนี้ บอกว่า อย่าเล่นเด็ดขาด ควรหลีกเลี่ยงเป็นที่สุด บางคนถึงกับตั้งกระทู้จับผิดถึงความบกพร่องของเครื่องยนต์รถรุ่นนี้ สาดเสียเทเสียกันเลยทีเดียว(ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทั้งๆที่ผ่าเครื่องรุ่นนี้ยังไม่เป็นเลย) แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวผมเอง
และผมก็ตัดสินใจซื้อรถคันนี้มา ด้วยเหตุผลดังนี้
1 สีตรงตามที่ต้องการคือสีน้ำตาล
2 เป็นเครื่อง4สูบ(N42) ซึ่งประหยัดน้ำมันกว่า ทันสมัยกว่า เครื่อง6สูบ(M52) ซึ่งอยู่ในรถ 323i และที่สำคัญ สายคันเร่งเป็นแบบไฟฟ้าแล้ว จึงทำให้เหยียบมันส์ขึ้น
3 ภายในสวยมาก สะอาดมาก เต้นท์เก็บภายในได้ดีมากครับ อุปกรณ์ทุกอย่างยังอยู่ครบ แม้แต่ชุดปฐมพยาบาล สีเบาะและลายไม้ตรงตามที่ต้องการ (มาเสียใจทีหลังเพราะ มันดูแลรักษายากมาก ไม่อยากให้ใครมานั่งรถเลย)
4 ชุดเครื่องมือต่างๆท้ายรถก็อยู่ครบทุกชิ้น สีตัวถังก็เก็บมาดีพอสมควร
5 ระบบต่างๆใช้งานได้อย่างปกติ
6 ราคาไม่ถึง6แสนบาท
BMW E46 เป็นรถขนาดพิกัด C Segment ซึ่งเทียบง่ายๆ ก็รถขนาดเดียวกันกับ Toyota altis
Honda civic Benz C-class อะไรประมาณนั้น ในเรื่องของขนาด แต่ในเรื่องของช่วงล่าง เนื้องานต่างๆ ต้องเทียบกับเบนส์ครับ เพราะรถญี่ปุ่นในขนาดพิกัดเดียวกันสู้ไม่ได้เลย ประเภทที่เรียกว่า รถญี่ปุ่นป้ายแดงราคาเต็มที่ตอนนั้นก็เก้าแสนปลายๆ แต่เจ้าบีเอ็มนี่ ราคาป้ายแดง2ล้านกว่า!!! แล้วพอเป็นมือสองที่ราคาพอๆกัน คุณจะเลือกอะไร ? อย่าพึ่งคิดว่า อะไหล่บีเอ็มแพงเลยครับ
ผมขับเซฟิโร่A32มาก่อน ราคาอะไหล่ค่าซ่อมพอๆกันครับ นิสสันเซฟิโร่เอง ราคาตอนนั้น ก็ล้านนิดๆ เป็นผม ผมเอาบีเอ็มดีกว่า
ศักดิ์ศรีมันต่างกันเยอะครับ
BMW E46 ได้เป็น 1ใน10รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี2002* โดย Caranddriver.com ( ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์
สมัครสมาชิก หรือ
ล็อกอิน และ ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์
สมัครสมาชิก หรือ
ล็อกอิน )
BMW 318iase คันนี้ เป็นผลรวมของความลงตัวระหว่างความประหยัด ความสวย และสมรรถนะครับ เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น 323 325 330 เพราะด้วยเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ที่มีแค่สี่สูบ(รุ่นที่เหลือเป็นหกสูบ) แต่ตอบสนองความแรงได้พอสมควร(1995cc. 143bhp***@6000rpm 200Nm@3750rpm) ชนิดที่สู้รถญี่ปุ่นรุ่นเดียวกันหรือสูงกว่าได้อย่างสบาย จึงมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ต่ำกว่าเครื่องหกสูบอย่างแน่นอน และได้ความประหยัดจากซีซีที่น้อยกว่า ถ้าคุณอยากได้บีเอ็มสวยๆสักคัน ซ่อมบำรุงต่ำ ประหยัดน้ำมัน ขับสู้รถญี่ปุ่นได้ BMW318i คือคำตอบของคุณ
แต่ถ้าคุณคิดว่า อยากแรงมากๆให้สมกับความเป็นบีเอ็ม ไม่มีปัญหาเรื่องค่าเชื้อเพลิง ก็ข้าม318ตัวนี้ไปเลยครับ
แล้วผมก็ได้มันมาครับ อย่างแรกที่คุณต้องทำเมื่อได้รถมือสองมาคือ นำไปอู่ หาช่างเพื่อตรวจสอบอีกครั้งว่า สภาพรถเป็นอย่างไร มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนหรือใกล้จะต้องเปลี่ยนแล้วบ้าง แนะนำว่าให้หาช่างที่ไม่มีอคติกับรถรุ่นนี้ และมีความรู้ความสามารถในการซ่อมรถรุ่นนี้ครับ ไม่งั้น ต้องมาทนนั่งฟังช่างบ่นอีกเพราะซ่อมไม่เป็นแล้วอ้างว่าเครื่องไม่ดี ที่แน่ๆ ของเหลวทั้งหมด จะต้องเปลี่ยน รวมถึงกรองต่างๆด้วยเช่นกัน ก็มันเป็นรถมือสองนี่น่า จะให้สมบูรณ์แบบเหมือนรถใหม่ได้ยังไง ซื้อปุบซ่อมปั๊บเรื่องธรรมดา
สัมผัสแรกที่ได้ขับ บอกเลยว่า รู้สึกดีมาก เครื่องนิ่ม รถพุ่งดี เกียร์เปลี่ยนโดยไม่กระตุก แต่เสียอย่างเดียว ช่วงล่างรถมันแข็งไปนิด เคยได้ยินเค้าบอกต่อกันมาว่า บีเอ็มจะเป็นรถที่เซ็ตช่วงล่างออกแนวsport เลยจะรู้สึกแข็งบ้าง แต่แลกมาด้วยความมั่นใจในการขับขี่ ทั้งนี้ ผมเทียบกับนิสสันเซฟิโร่ ซึ่งใช้อยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อเทียบกันแล้ว
บีเอ็ม เครื่องประหยัดกว่า(ค่าซ่อมบำรุงเล็กๆน้อยๆ เช่นหัวเทียน คอยล์ เป็นต้น) แรงกว่า ใหม่กว่า ดีกว่า ภายในสวยกว่า ลูกเล่นเยอะกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า จะแพ้เซฟิโร่ก็แค่ความนิ่มของช่วงล่างนี้แหล่ะ แต่เมื่อเทียบกับช่วงล่างรถญี่ปุ่นรุ่นอื่นๆที่เคยขับมา ถือว่านิ่มกว่าและหนึบกว่ามากครับ และมารู้ทีหลังว่า หนึ่งในปัจจัยเรื่องความนิ่มอยู่ที่ยางด้วย เพราะพอเปลี่ยนยาง โพเทนซ่า อะดรีนาลีน RE002 ออก และใส่ยาง Yokohama db v551แทน ความนิ่มของช่วงล่างกลับมาทันทีครับ
และมีความนิ่มไม่หนีจากนิสสันเซฟิโร่A32คันเก่าของผมเท่าไหร่เลย(เซฟิโร่ใส่ โช๊คโมนโร สปริงH&R ยางTOYO C1S) ที่สำคัญ E46ถูกจัดให้เป็นรถประเภท Sport Sedan ซึ่งจะให้นิ่มแบบ พวกเซฟิโร่ ก็คงเป็นไปไม่ได้ อยากได้นิ่มกว่านี้ ต้องไปเล่น E60เอาครับ
หลังจากรู้ประวัติของรถมาพอสมควรแล้ว มาดูหน้าตาภายนอกกันบ้าง
BMW 318iaSEของผมคันนี้ หน้าตาก็เหมือนปกติของรถตระกูลนี้แหล่ะครับ ไม่ได้มีการแต่งเติมมาแต่อย่างใด พูดง่ายๆก็คือ รถเดิมๆมาเลย เท่าที่รู้ รุ่นปี02นี่ แฮนด์จับประตูจะเป็นสีดำ ซึ่งรุ่นใหม่ถัดมา สีของแฮนด์จับจะเป็นสีเดียวกันกับรถแล้ว และยังไม่มีคลีบฉลามบนหลังคาด้านหลัง(ผิดพลาดประการใดเกี่ยวกับข้อมูล ขออภัยด้วยครับ)
ไฟหน้า ไม่ใช่ซีนอลและไม่มีไฟโปรเจกเตอร์ครับ ใครอยากได้ ต้องไปหาทำหาซื้อมาใส่เอาเองครับ รถผมก็เช่นกัน
BMW E46 เป็นรถที่ทรงตัวได้ดีมากทั้งความเร็วต่ำและสูง ความลับของมันเหรอครับ
อยู่ที่การออกแบบครับ ลองดูภาพของเครื่องยนต์N42ข้างล่างนี้ดูครับ ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่า ตัวเครื่องยนต์ส่วนใหญ่
จะอยู่หลังล้อหน้าครับ ดูจากหัวโช๊คนะครับ แล้วลองขีดเส้นตรงเชื่อมระหว่างหัวโช๊คทั้งสอง จะพบว่า ตัวเครื่องอยู่หลังล้อหน้า
ซึ่งจะทำให้น้ำหนักของเครื่องเข้ามากระจายตัวอยู่ภายในระหว่างล้อหน้ากับล้อหลัง โดยทางผู้ผลิตBMWเค้ามีแนวคิดว่า รถที่ดี
จะต้องกระจายน้ำหนักของตัวรถได้ดี และน้ำหนักส่วนใหญ่ ควรอยู่ระหว่าง ล้อหน้ากับล้อหลัง น้ำหนักกระจายของE46จึงอยู่ที่
ประมาณ 50-50 ของล้อหน้าและล้อหลังครับ นี่ยังไม่รวมชุดช่วงล่างที่ออกแบบมาอย่างดีซึ่งBMWเค้าถนัดอยู่แล้ว
ซึ่งด้านหน้าจะเป็นแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโครง ส่วนด้านหลังก็จะเป็นแบบ Multi link พร้อมเหล็กกันโครงเช่นกัน
ภาพบนเป็นช่วงล่างแบบ MacPherson Strut ภาพล่างเป็นช่วงล่างแบบ Multi link (จากคุณกฤษดา)
รถE46รุ่นนี้ เข้าโค้งได้ดีมากครับ เวลาวิ่ง ตจว จะมีพวกกระบะบ้าพลัง (วีโก้ซะส่วนใหญ่) และพวกรถเก๋งญี่ปุ่นที่ชอบขับเร็วๆ เวลาวิ่งทางตรง กินกันยากครับ เพราะไหนจะเจอรถสวน ไหนจะติดรถคันหน้า ความเร็วไม่หนีกันเท่าไหร่(ที่ย่าน120-160km/h) แต่ถ้าผมได้แซงขึ้นหน้าเมื่อไหร่ และข้างหน้าเป็นโค้ง ผมสามารถเข้าโค้งได้อย่างสบาย เพราะช่วงล่างคมและแม่นยำมาก สาดโค้งเสร็จ ก่อนหมดโค้งก็สามารถกดส่งต่อออกจากโค้งได้สบาย คุณจะรู้สึกเลยว่า รถมันเกาะถนนดีมาก เหมือนรองเท้าฟุตบอลที่จิกลงบนสนามหญ้า และพร้อมจะให้คุณพุ่งไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ ด้วยอัตราเร่งที่ราวกับว่าไม่มีวันหมดซะที ซึ่งต่างจากรถกระบะหรือเก๋งญี่ปุ่น โดยเฉพาะค่ายดังยักใหญ่ (เจ้านี้ ทางตรงหล่ะใส่จัง พอเจอโค้งหน่อย เบรคกันหัวปรักหัวปรำ) ถือว่ารถรุ่นE46นี้มุดได้เก่งด้วยครับ ยิ่งโค้งเยอะยิ่งทิ้งห่าง เป็นรถที่ขับสนุกมากทั้งขับช้าและขับเร็ว
ส่วนเครื่องยนต์ ทางเต้นท์ได้ล้างทำความสะอาดมาให้อย่างดีแล้ว ห้องเครื่องสะอาดดี ผมไม่ต้องมานั่งเก็บงานเลย
(แต่ก็มาล้างทำความสะอาดอีกรอบอยู่ดีเพราะอยากทำ) เครื่องN42เป็นเครื่องที่ทันสมัยที่สุดในตระกลูE46 ถูกผลิตออกมาตั้งแต่ปี2001-2007(อ้างอิงจากhttp://www.bmwheaven.com/database/engine.php) แทนเครื่องM43ซึ่งเก่าไปแล้ว รวมถึงN46(318ปี04ขึ้นไป)ซึ่งหน้าตาเหมือนN42 แต่เป็นรุ่นแก้ข้อบกพร่องบางประการของN42 เครื่องทั้ง2รุ่นนี้ ถูกออกแบบมาให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้นโดยที่ให้แรงม้าที่มากขึ้นและสมเหตุสมผล (โดยเทียบกับเครื่อง4สูบตัวเดิมอย่าง M43tu ซึ่งให้แรงม้าไม่ถึง120ตัว) ซึ่งต่อมา แนวคิดดังกล่าวก็ถูกนำมาใช้ในรถบีเอ็มรุ่นใหม่ๆ เช่น E90 และ F30ที่ขายในปัจจุบัน
ข้อดีของเครื่องN42ในE46ที่ได้เปรียบเครื่องตัวอื่นในตระกูลE46คือ
1 ประหยัดน้ำมันกว่า(เพราะ เบากว่า cc.น้อยกว่า ความคุมด้วยคันเร่งไฟฟ้าที่แม่นยำ)
2 ทันสมัยกว่า (ในยุคนั้น)
3 น้ำหนักเบากว่า (เบากว่ารุ่น 323อยู่ 95 กิโลกรัม เบากว่ารุ่น 325อยู่ 180 กิโลกรัม และ เบากว่ารุ่น 330 อยู่ 115 กิโลกรัม)
4 เป็นเครื่องที่มีรางวัลยอดเยี่ยมระดับโลกรองรับ
5 ทำให้รถทรงตัวดีกว่า คล่องตัวกว่า ควบคุมง่ายกว่า เนื่องจากน้ำหนักที่เบาลงกว่าร้อยกิโล
N42ตัวนี้ มีฉายาว่า ''เครื่องเทพ'' เพราะเป็นเครื่องที่ต้องอาศัยความชำนาญของช่างที่มีความรู้ด้านN42เป็นพิเศษ ถึงจะจบงานได้ เพราะช่างทั่วไป หรือช่างยุคเก่าที่ไม่รู้จักศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม มักจะทำไม่ได้ ซ่อมไม่เป็นและบอกว่าเครื่องN42ไม่ดีนั่นเอง ถึงได้เป็นที่มาของฉายา ''เครื่องเทพ'' ดังนั้น เราคงต้องนิยามคำว่า''เครื่องเทพ''ใหม่แล้วแหล่ะครับ เพราะมันไม่ได้มีปัญหาอย่างที่ช่างบางคนเข้าใจ ''เครื่องเทพ'' ควรจะหมายถึง เครื่องที่ทันสมัยที่สุดในในตระกูลE46จนช่างอ่อนหัดซ่อมไม่เป็นมากกว่า และที่สำคัญที่สุด
เครื่อง N42ตัวนี้ ได้รับรางวัล International Engine of the Year ประจำปี 2001 อีกด้วย** อ้างอิงจาก ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์
สมัครสมาชิก หรือ
ล็อกอิน และhttp://en.wikipedia.org/wiki/International_Engine_of_the_Year (ไม่ทราบว่า คนที่บอกว่าเครื่องรุ่นนี้ไม่ดี ทราบรึเปล่า)
ทำไมถึงได้รางวัล เพราะ เป็นการปฎิวัติเครื่องยนต์ ในยุคนั้น การนำอลูมินั่ม มาทำเป็นโครงสร้างหลัก และนำพลาสติดมาประยุกต์ใช้ภายในตัวเครื่องยนต์ เพื่อลดน้ำหนักของเครื่องยนต์ และการนำเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ได้กำลังแรงม้าที่มากขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้น ในขณะที่ใช้ซีซีต่ำ(เครื่องยนต์ใหม่ๆในปัจจุบัน ได้นำหลักคิดดังกล่าวมาใช้)
ส่วนเรื่องความจุกจิก เท่าที่ใช้มา เครื่องโดยตรง ผมยังไม่เจอเรื่องจุกจิกอะไร จะเจอก็เป็นระบบไฟฟ้า อุปกรณ์อื่นๆรอบข้าง ซึ่งไม่ใช่เครื่องยนต์ และเสื่อมสภาพไปตามอายุขัยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงพูดไม่ได้เต็มปากว่า รถรุ่นนี้ จุกจิก เพราะรถเก่าทุกคันก็จุกจิกด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่ได้รับการเตือนมา คือเรื่องของระบบน้ำ ต้องซ่อมให้จบ ต้องทำให้ดี เพราะสำคัญมากที่สุดของเครื่องN42 อย่างรถผม ตอนนี้มีปัญหาวาล์วน้ำค้างเป็นบางครั้ง เลยจำเป็นที่จะต้องทำการเปลี่ยนแล้ว และก็สมควรเปลี่ยนด้วยเพราะรถวิ่งมา 152000กมแล้ว เท่าที่เคยศึกษามา รถวิ่งเกินแสนโล ควรจะต้องเปลี่ยนวาล์วน้ำและปั๊มมน้ำอยู่แล้ว เรื่องของพละกำลังของรถคันนี้ มีม้าพกมา143ตัว ซึ่งสำหรับผมก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการแล้ว แต่ในเครื่องM52 6สูบ จะมีม้าสูงกว่าอยู่ที่ 184ตัว แต่สำหรับผม อัตรสิ้นเปลืองน้ำมัน สำคัญกว่า ม้าจำนวนมากครับ ก็มันไม่มีทุ่งให้ม้าไปวิ่งแล้วครับเดี๋ยวนี้ รถติดไปทุกหย่อมหญ้า (จะว่าไปม้า143ตัวที่เครื่องN42ทำได้ ก็สู้รถญี่ปุ่นได้สบาย เพราะม้าเยอรมัน มันกินแต่ไส้กรอกกับเบียร์ เลยตัวใหญ่ ไม่เหมือนม้าญี่ปุ่น กินแต่ผักแต่หญ้า เลยตัวเล็ก ทั้งๆที่จำนวนม้าเท่ากัน) รถBMW 318iaSE ของผมคันนี้ บริโภค ทั้งแก๊สLPGและน้ำมัน ความจริงไม่อยากจะติดแก๊สเท่าไหร่ แต่เนื่องจาก ต้องเดินทางไกล ตจว ทุกเดือน จึงมีความจำเป็นต้องประหยัดเงินเอาไว้ ส่วนอัตราการบริโภคอยู่ที่ ในเมือง 8-9 กม/ลิตร(ขับแบบถูกต้องคือไม่กระชาก ไม่ออกตัวเร็ว ) และ นอกเมืองอยู่ที่ 10.2-11.2กม/ลิตร(ความเร็ว 110Km/h และพยายามรักษารอบไม่เกิน 2500-3000รอบ/นาที) แต่ถ้าทนไม่ไหว รถมันยั่วเหลือเกิน(อย่างผม) ก็วิ่งสลับความเร็วสูงมาก และปานกลางได้ อัตราบริโภคอยู่ที่ประมาณ 8-9กม/ลิตร เช่นกันครับ ซึ่งสำหรับผมถือว่า ประหยัดอยู่พอสมควรและน่าจะประหยัดกว่าเครื่อง 6 สูบ M52ครับ ส่วนบางคนที่โม้ว่าเครื่องM43ใน318ตัวเก่าประหยัดกว่าเครื่องN42 ก็อย่าเชื่อครับ ถ้าไม่มีหลักฐานมาให้ดู เพราะคนเดี๋ยวนี้ ชอบโม้ ชอบเอาดีเข้าตัว แต่พอถามหาหลักฐานรูปถ่าย ก็ไม่มี ส่วนผม มีครับ ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานไว้หมด ข้อเท็จจริงล้วนๆ ไม่ได้โม้
สำหรับท่านที่คิดว่า 318 วิ่ง ตจว ไม่ไหว ผมก็ขอบอกตรงนี้เลยว่า ไหวครับ ดีกว่ารถญี่ปุ่นในซีรี่ย์(segment)เดียวกันด้วยซ้ำ เหยียบก็มา ไม่ได้อืดอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องรู้จักจังหวะและขับให้เป็น เครื่องN42ใน318iถูกออกแบบมาให้ประหยัดเชื้อเพลิง เพราะฉะนั้น ซีซี แรงม้า และแรงบิด จะต่ำกว่า พวกเครื่อง M52 และM54 ดังนั้น เพื่อชดเชยในเรื่องนี้ วิศวกรจึงออกแบบให้อัตราทดเฟืองของเครื่องN42 สูงกว่ารุ่นอื่น โดยในไทยจะมีอัตราทดเฟืองท้ายที่ 3.45และญี่ปุ่นมีอัตราทดที่3.91 ซึ่งจะทำให้อัตราเร่งตีนต้นดีและดีกว่าพวกรุ่นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมทั้งยังเขียนโปรแกรมให้เกียร์ในโหมดS(Sport) ลากรอบเครื่องไปที่6000-6500RPM ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนเกียร์ให้เมื่อกดมิดคันเร่ง เพราะที่รอบดังกล่าว จะเป็นรอบที่แรงม้ามาสูงสุด แต่ผมไม่แนะนำให้กดมิดคันเร่งในโหมดS เพื่อทำการแซงหรือแข่งโดยเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้ทั้งเครื่องและเกียร์ทำงานหนักมากเกินไป และสุดท้าย ทั้งเครื่องและเกียร์ก็จะพังเร็วกว่าที่ควรจะเป็น วิธีแก้ไขคือ ให้เปลี่ยนเป็นโหมดMแทน แล้วเปลี่ยนเกียร์เอง และเปลี่ยนในช่วง 3750-5250 RPM เพราะเป็นช่วงที่แรงบิดสูงสุด (แรงบิด=อัตราเร่ง) แค่นี้ก็สนุกกับมันได้แล้วครับ ความเร็วสูงสุดที่เคยทำได้และไม่กล้าไปต่อ(แต่ไม่สุดจริงๆ เพราะยังเหลืออีกเกียร์ที่ยังไม่ได้เข้า คือลากเกียร์4เหลือเกียร์5 อยู่โหมดSครับ ถ้าเข้าเกียร์ก็จะกลายเป็นโหมดM) คือ 200 Km/h ตามคู่มือบอกว่าสูงสุดที่ 218Km/hครับ 0-100ได้ใน10.2วิ ซึ่งช้ากว่าที่คู่มือเคลมไว้อยู่ประมาณ1วิ นั้นคงเป็นเพราะปัจจัยเรื่องความเก่าของเครื่องและการเปิดระบบASCไว้ ซึ่งจะป้องกันล้อปัดเวลาออกตัวด้วย สรุปประเด็นเรื่องเครื่องตรงนี้คือ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดครับ ลองมองดูบนท้องถนนสิครับ 318iวิ่งกันเยอะแยะครับ ถ้ามันไม่ดี คงไม่วิ่งกันหรอกครับ มันอยู่ที่คนดูแลต่างหาก หมั่นดูแลใส่ใจในสิ่งที่ผิดปกติ แค่นี้ คุณก็ขับอย่างสบายใจแล้วครับ
(ภาพก่อนใส่วงแหวนครอบไมล์)
* ทั้งรุ่นซีดาน และรุ่นM3
** เครื่องM54ในE46 325i ได้รับรางวัลนี้เช่นกันในปี2003และ2004 เครื่องS54ในE46M3ก็ได้รับรางวัลนี้ในปี2001เช่นกัน
แต่เครื่องM52ไม่ได้รับรางวัลใดๆ
*** bhp คือแรงม้ายุโรป รถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใช้ ps เรียกคุ้นปากว่าแรงม้าญี่ปุ่น 143bhp(แรงม้ายุโรป)=145ps(แรงม้าญี่ปุ่น) ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์
สมัครสมาชิก หรือ
ล็อกอินปล ภายหลัง ผมมีโอกาส ได้ขับที่ความเร็วสูงสุด และมันทำได้ตามคู่มือรถอย่างไม่น่าเชื่อ คือประมาณ217-218Km/h ตามรูปเลยครับ (วิ่งในสนามแห่งหนึ่ง)